อนาคตความร่วมมือไทย-จีน ภายใต้ข้อริเริ่มหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง

Last updated: 27 ต.ค. 2566  |  256 จำนวนผู้เข้าชม  | 

อนาคตความร่วมมือไทย-จีน ภายใต้ข้อริเริ่มหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง

อนาคตความร่วมมือไทย-จีน ภายใต้ข้อริเริ่มหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง..."เศรษฐา ทวีสิน" นายกรัฐมนตรี เข้าร่วมการประชุมข้อริเริ่มหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (BRF) ครั้งที่ 3 เพื่อกระชับความสัมพันธ์และขยายความร่วมมือด้านต่าง ๆ ระหว่างไทยและจีน

การประชุมข้อริเริ่มหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (BRF) ครั้งที่ 3 ที่จีนเป็นเจ้าภาพ ระหว่างวันที่ 17-18 ต.ค.ที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสิน ได้เข้าร่วมการประชุมครั้งนี้ เพื่อกระชับความสัมพันธ์และขยายความร่วมมือด้านต่าง ๆ ระหว่างไทยและจีน



โดยนายกวี จงกิจถาวร นักวิจัยอาวุโส สถาบันศึกษาความมั่นคงและนานาชาติ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มองบทบาทของไทยในเวทีนี้ และความร่วมมือระหว่างไทย และจีนภายใต้กรอบข้อริเริ่มหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา และในอนาคตกล่าวว่า ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาจีนสามารถระดมทุนในการสร้างโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ทั้งทางบก ทางทะเล โดยพยายามเข้าไปในทุกภูมิภาคของโลก ทั้งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เอเชียกลาง ทวีปยุโรป ทวีปแอฟริกา และทวีปอเมริกาใต้ ทำให้เกิดการพัฒนาอย่างมากในหลาย ๆ ประเทศ

การประชุมข้อริเริ่มหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (BRF) ครั้งนี้ ถือว่าประเทศไทยมีบทบาทสูง เพราะเป็น 1 ในกว่า 30 ประเทศที่มีผู้นำเข้าร่วมประชุมด้วย โดยการประชุมครั้งนี้ทำให้จีนได้ทบทวนและเรียนรู้บทเรียนในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาเกี่ยวกับข้อริเริ่มนี้ เพราะ 10 ปีที่ผ่านมาตอนริเริ่มโครงการนี้เมื่อปี 56 เศรษฐกิจจีนเติบโตสูง จึงมีการลงทุนขนาดใหญ่และใช้เงินมหาศาล แต่หลังจากนี้ จีนยังยืนหยัดสานต่อข้อริเริ่มนี้ต่อไป โดยรับฟังความคิดเห็นจากประเทศต่างๆ ที่เข้าร่วมกว่า 150 ประเทศ แต่มองว่าทางจีนน่าจะมีการประเมิน และอาจทำให้โครงการต่าง ๆ เล็กลง ลงทุนน้อยลง แต่เป็นการลงทุนที่มีประสิทธิภาพเป็นโครงการที่จิ๋วแต่แจ๋ว

ในช่วงที่ผ่านมา มีประเทศต่าง ๆ ได้รับประโยชน์มากมายจากโครงการต่าง ๆ โดยไทยมีโครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีนที่ยังดำเนินการอยู่ แต่ประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค มี 2 ประเทศที่เห็นผลอย่างทันควัน คือ สปป.ลาว ที่มีโครงการรถไฟความเร็วสูงระหว่างเวียงจันทน์-คุนหมิง ที่อินโดนีเซีย มีการเปิดเส้นทางใหม่ รถไฟความเร็วสูงระหว่างกรุงจาการ์ตา-บันดุง และเวียดนาม นอกจากมีโครงการให้จีนสร้างรถไฟใต้ดินที่เมืองฮานอย และยังมีโครงการสร้างเส้นทางรถไฟจากฮานอย-โฮจิมินห์ด้วย

สำหรับการดำเนินโครงการภายใต้กรอบ BRI ในอนาคต ประเทศจีนน่าจะมีแนวทางในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสีเขียว หรือ Green Economy ซึ่งเป็นประเด็นที่รัฐบาลทุกประเทศให้มีความสนใจ ซึ่งเรื่องนี้ไทยได้ประโยชน์ เพราะไทยก็มีแนวทางขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง และการพัฒนาที่ยั่งยืนในกรอบของ BCG อยู่แล้ว ดังนั้นในอนาคตความร่วมมือระหว่างไทย และจีนในกรอบความร่วมมือของ BRI จะเพิ่มสูงขึ้น ภายใต้รัฐบาลชุดนี้ เนื่องจากนายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสิน มีความเชี่ยวชาญเรื่องการทำธุรกิจ จะเห็นว่า การเดินทางครั้งนี้ได้ทีมรัฐบาลไทยได้พบกับประธานาธิบดีจีน นายกรัฐมนตรีจีน ผู้นำในภาคเศรษฐกิจของจีนหลายคน และมีการหารือเรื่องความร่วมมือหลายเรื่อง

ที่ผ่านมาในด้านการค้าและการลงทุน จีนเป็นคู่ค้าอันดับ 1 ของไทย และไทยเป็นคู่ค้าอันดับ 13 ของจีนมูลค่าการค้ารวม 105,404 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ความร่วมมือระหว่างไทยและจีนภายใต้ข้อริเริ่มหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางนับจากนี้ จึงยิ่งจะช่วยกระชับความสัมพันธ์ และเสริมสร้างการพัฒนาร่วมกันระหว่างไทย-จีน ในหลายมิติ.

ขอบคุณ...บทความ : ประวีณมัย บ่ายคล้อย.                                                                       ภาพ : สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย.

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้