ปกครองบุกจับผับดังกลางกรุง ไร้ใบอนุญาต-ปิดตี4-เสี่ยงแพร่โควิดฯ

Last updated: 10 ธ.ค. 2563  |  477 จำนวนผู้เข้าชม  | 

ปกครองบุกจับผับดังกลางกรุง ไร้ใบอนุญาต-ปิดตี4-เสี่ยงแพร่โควิดฯ

ชุดปฏิบัติการพิเศษกรมการปกครองบุกจับผับดังกลางกรุง ไร้ใบอนุญาต นักเที่ยวทั้งชาวไทย-ต่างชาติมั่วสุม พบยาเสพติด-บารากู่ เปิดบริการไร้มาตรการป้องกัน เสี่ยงเป็นแหล่งแพร่กระจายเชื้อโควิด-19 แถมเปิดยันตี 4 ทุกคืน 

เมื่อเวลา 03.00 น.วันที่ 10 ธ.ค. นายรณรงค์ ทิพย์ศิริ ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการบังคับใช้กฎหมายพนักงานฝ่ายปกครอง สำนักการสอบสวนและนิติการ กรมการปกครอง และสมาชิกกองอาสารักษาดินแดน นำกำลังชุดปฏิบัติการพิเศษกรมการปกครองทลายผับดังกลางกรุงไม่มีใบอนุญาต ย่านสุขุมวิท ชื่อ Insanity Nighclub ตั้งอยู่ภายในซอย สุขุมวิท 11 แขวงคลองเตยเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพมหานคร พบนักเที่ยวกว่า 150 คน ทั้งชาวไทยและต่างชาติ กำลังเต้นเบียดเสียดกัน ปราศจากการเว้นระยะห่าง และไม่มีมาตรการในการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 แต่อย่างใด 



หลังได้รับแจ้งจากทางรัฐสภาประสานให้กระทรวงมหาดไทย โดยกรมการปกครอง ตรวจสอบ Insanity Nighclub เนื่องจากประชาชนในพื้นที่ ร้องเรียนว่า สถานบันเทิงดังกล่าวเปิดให้บริการเกินกว่าเวลาที่กฎหมายกำหนด โดยเปิดยันตี 4 ทุกคืน เป็นเหตุให้ผู้ที่อาศัยอยู่ในบริเวณใกล้เคียงได้รับความเดือดร้อน และที่กังวลว่าจะเป็นแหล่งแพร่กระจายเชื้อโควิด-19 ด้วย



ก่อนเข้าจับกุมได้ทำการส่งสายลับ เข้าสืบสวนที่ร้าน Insanity Nighclub ถึง 2 ครั้ง พบว่า มีลักษณะเป็นผับที่ไม่ได้เข้มงวดกวดขัน และไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขในการป้องกันการแพร่เชื้อโควิด-19 โดยเปิดให้บริการถึงตี 04.30 น. ซึ่งเกินกว่าเวลาที่กฎหมายกำหนด นอกจากนี้ยังพบเห็นว่ามีการเสพยาเสพติดภายในร้าน และทางร้านมีการให้บริการบารากู่อีกด้วย เมื่อได้ข้อมูลหลักฐานที่ชัดเจนจึงปฏิบัติการจู่โจมสถานบันเทิงละเมิดกฎหมายทันที

กระทั่งเวลา 03.00 น.ทันทีที่สายลับส่งสัญญาณความพร้อม ชุดจับกุมเข้าไปถึงภายในร้านพบนักเที่ยวจำนวนกว่า 150 คน ทั้งชาวไทยและต่างชาติ กำลังเต้นเบียดเสียดกันอย่างเมามันตามจังหวะของเสียงเพลง โดยไม่ได้มีการเว้นระยะห่างแต่อย่างใด อีกทั้งนักเที่ยวส่วนใหญ่ก็ไม่ได้มีการสวมหน้ากากอนามัย พอนักเที่ยวรู้ว่าถูกเจ้าหน้าที่เข้าจับกุม ภายในผับเกิดโกลาหลหลายคนพยายามโยนยาเสพติดทิ้ง และพยายามหลบหนีออกทางประตูหน้าร้าน แต่ชุดจับกุมได้วางแผนมาเป็นอย่างดี โดยส่งเจ้าหน้าที่ปิดล้อมประตูไว้ทุกด้าน จึงทำให้นักเที่ยวไม่สามารถหนีออกไปได้ เจ้าพนักงานฝ่ายปกครองสั่งให้เปิดไฟ และประกาศให้ทุกคนอยู่ในความสงบ



จากการตรวจสอบภายในร้านพบนักเที่ยว จำนวนกว่า 150 คน ทั้งชาวไทยและต่างชาติ ขณะเดียวกันระหว่างตรวจสอบยังพบยาเสพติดตกอยู่ตามพื้น และในห้องน้ำ มีลักษณะเป็นผงสีขาว คาดว่าเป็นเคตามีน และยังพบว่าทางร้านมีการให้บริการ บารากู่ โดยพบมีเตาบารากู่ และตัวยาบารากู่จำนวนมาก และจากการตรวจปัสสาวะเพื่อหาสารเสพติดในร่างกาย เบื้องต้นพบมีนักเที่ยวฉี่ม่วง นอกจากนี้ยังพบว่าสถานที่แห่งนี้ เป็นสถานบริการ ที่ไม่ได้รับใบอนุญาต เจ้าพนักงานฝ่ายปกครอง จึงได้จับกุมตัวผู้จัดการร้านและร้องทุกข์กล่าวโทษในฐานความผิด ดังนี้
1. เปิดสถานบริการโดยไม่ได้รับอนุญาต 2. ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เกินกว่าเวลาที่กฎหมายกำหนด 3. กระทำการชุมนุม การทำกิจกรรม หรือการมั่วสุมกัน ณ ที่ใด ๆ
ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ 4. ขายหรือให้บริการสินค้าบารากู่



นายรณรงค์ กล่าวว่า จากการตรวจสอบ สถานบันเทิงแห่งนี้ พบว่า เป็นสถานบริการที่ไม่ได้รับใบอนุญาต ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เกินกว่าเวลาที่กฎหมายกำหนด เปิดให้บริการถึงยันตี 4 ทุกคืน และมิได้มีการปฏิบัติตามเงื่อนไข หรือมีมาตรการในการป้องกันการแพร่กระจายเชื้อโควิด-19 แต่อย่างใด เช่น ไม่ได้มีการเว้นระยะห่างระหว่างนักเที่ยว มีการเต้นเบียดเสียดใกล้ชิดกัน หรือไม่ได้มีการติดตั้งฉากกั้นระหว่างโต๊ะ และนักเที่ยวส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ใส่หน้ากากอนามัยเพื่อเป็นการป้องกัน ซึ่งเป็นที่น่าเป็นห่วงว่า ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมานั้นมีสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศไทยไม่ค่อยจะดีนัก ซึ่งมีผู้ที่ติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มขึ้น จึงเป็นที่น่ากังวลว่าที่แห่งนี้อาจจะเป็นแหล่งแพร่กระจายเชื้อโควิด-19 ได้ โดยผับแห่งนี้สร้างความเดือดร้อนแก่ประชาชนในบริเวณนี้เป็นอย่างมาก และยังพบว่ามีการปล่อยปละละเลยให้มีการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดภายในผับอีกด้วย ซึ่งจะต้องถูกเพิกถอนใบอนุญาต มีโทษทางอาญา และฝ่าฝืนคำสั่ง หัวหน้า คสช. ที่ 22/28558 มีโทษทางปกครองสั่งปิดสถานประกอบการที่ฝ่าฝืนเป็นเวลา 5 ปี.

ขอบคุณข้อมูล/ภาพ...ชุดปฏิบัติการพิเศษกรมการปกครองฯ

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้